บล็อกนี้ จะเล่าให้ฟังถึง
สาเหตุของน้ำหนักที่ขึ้น เมื่อเราอายุมากขึ้น
หน้าที่ของโกรทฮอร์โมน เกี่ยวข้องอย่างไรกับการลดน้ำหนัก
2 สิ่งที่จะช่วยทำให้การเผาผลาญไขมันในร่างกายของเราดีขึ้น
3 วิธีการเพิ่มโกรทฮอร์โมนแบบธรรมชาติ ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องกินยา
เริ่มแบ่งปันกันเลยละกัน
"มีใครเคยเจอปัญหานี้ไหม"
เมื่ออายุมากขึ้น พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย การนอน ยังเหมือนเดิมเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนทานเท่าไหร่ร่างกายก็ยังเผาผลาญได้ทันได้ไว หุ่นก็ยังคงรูปร่างได้ดีอยู่ แต่ไม่ช้าไม่นานเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายภาายในเริ่มเปลี่ยนแปลง การเผาผลาญคาร์บ การเผาผลาญไขมันเริ่มเปลี่ยนไป ระดับฮอร์โมนต่าง ๆ เริ่มลดลง ร่างกายเราดูเหมือนจะอ้วนขึ้น ถึงแม้ไม่ได้ทานเพิ่มขึ้น ถึงจะออกกำลังกายมากขึ้น นานขึ้นก็แล้วก็ตาม พุงที่อยู่ตรงหน้าก็ยังจะคงอยู่เหมือนเดิม และก็เห็นแต่แนวโน้มที่เครื่องชั่งน้ำหนักจะโชว์ตัวเลขที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดภาพนี้กับเรา ก็เพราะโดยธรรมชาติของร่างกายที่มีอายุเพิ่มขึ้น ระดับของโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นพออายุถึง 30 ปี ระดับโกรทฮอร์โมนก็ลดลงไปเหลือประมาณ 20% เมื่อเทียบกับเมื่อตอนอายุ 10 ปี
Growth Hormone-GH หรือบางคนเรียกว่า ฮอร์โมนอ่อนเยาว์บ้าง ฮอร์โมนหน้าเด็กบ้าง เขามีหน้าที่ในการสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และยังช่วยในการเผาผลาญไขมัน กำจัดกรดแลคติคที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย ดังนั้นเมื่อเรามีอายุมากขึ้นระดับ ของ GH ลดลงทำให้ร่างกายเราฟื้นตัวช้าลง ต้องใช้เวลาพักผ่อนนานขึ้นกว่าจะฟื้นจากการออกกำลังกาย ฟื้นจากการนอนดึก การเผาผลาญไขมันของร่างกายก็จะช้าลง ดังนั้น
2 สิ่งที่จะช่วยทำให้ร่างกายของเราเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
มีปริมาณกล้ามเนื้อ (muscle mass) ที่มากขึ้น โดยเฉพาะ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ บริเวณขาและบริเวณกล้ามเนื้อก้น และ
การเพิ่มปริมาณ GH ในร่างกาย โดยการออกกำลังกายในแนวที่ช่วยส่งเสริมการผลิตของ GH
ก็เข้ามาสู่คำถามว่า แล้วเราจะเพิ่ม GH กันได้อย่างไร ในแบบที่ปลอดภัย ซึ่งเราจะไม่กล่าวถึงแนวการกินหรือการฉีด เป็นต้น
3 วิธีการเพิ่มโกรทฮอร์โมน
จากภายในร่างกายเราเอง ไม่พึ่งอาหารเสริม ไม่พึ่งเข็มฉีดยา
วิธีที่ 1 รู้จักธรรมชาติของการนอน คือนอนหลับในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมนออกมาโดยปกติ
วิธีที่ 2 จากการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง เช่น การวิ่งแบบ High Intensity Interval Training (HIIT) การเช่นเวทจนกระทั่งถึงจุด ที่กล้ามเนื้อล้มเหลว หรือที่เรียกว่า lift to failure ซึ่งอาจเสี่ยงกับการบาดเจ็บ
วิธีที่ 3 คือการออกกำลังกายแนว Weight Training (เวทเทรนนิ่ง) คู่กับอุปกรณ์ #bstrong ซึ่งจะทำให้การออกกำลังกายที่ใช้น้ำหนักเบาหรือ low-volume (เพียงแค่ 20-30%ของ 1 Rep Max (1RM) หรือประมาณ 30-50% ของน้ำหนักที่เคยใช้อยู่) ก็จะเทียบเท่ากับการออกแบบ high-volume ซึ่งสามารถทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ออกกำลังกายนั้น มีความล้าได้ใกล้เคียงกับการทำ HIIT โดยไม่เสี่ยงกับการบาดเจ็บที่มาจากใช้น้ำหนักที่มากและอาจทำให้เราบาดเจ็บได้
กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นได้อย่างไร
กล้ามเนื้อเราจะแข็งแรงขึ้นได้นั้น สรุปแบบง่าย ๆ ก็คือกล้ามเนื้อมีการปรับตัว ผ่านกลไกทาง neural หรือระบบประสาท ผ่านทาง mechanical และ ผ่านทาง metabolic ซึ่งรายละเอียดของ กลไกเหล่านี้ คงอ่านไม่สนุกแน่นอน โดยสรุปแล้วก็คือ เป็นเรื่องของ load และ volume
ถ้ามองจากมุมของฮอร์โมน ระดับของ #Testosterone เพิ่มขึ้นเมื่อมี load หรือน้ำหนักที่สูง บวกกับ การออกกำลังกายที่ใช้หลายข้อต่อพร้อมกัน (multi-joint exercises)
การออกกำลังกายด้วย high-volume ที่ความเข้มข้นปานกลาง จะช่วยเพิ่ม #GrowthHormone แต่ low-volume ที่ความเข้มข้นต่ำไม่ได้ช่วยเพิ่ม #GrowthHormone ด้วยเทคนิคที่ #bstrong ใช้ทำให้ร่างกายและกล้ามเนื้อต้องปรับตัวจาก metabolic stress ที่เกิดขึ้นขณะออกกำลังกาย
โดยสรุป ถ้าอยากผอมลงอย่างยั่งยืน ให้กล้ามเนื้อให้แข็งแรงและเพิ่มมากขึ้น ก็ต้องเป็นการออกกำลังกายที่เป็นแนว "high-load" + "high-intensity" ซึ่งผลที่ได้คือ
เมื่อร่างกายเริ่มตอบสนองกับการเทรนและเริ่มมีกล้ามเนื้อมากขึ้น มีระดับ Growth Hormone ที่สูงขึ้นการเผาผลาญไขมันของร่างกายก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ระดับฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น Insulin-like Growth Factors (IGF1), myogenic stem cell (MSC's), Vascular Endothelial Growth Factor (VEGF) ในร่างกายที่สูงขึ้นช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอีก
สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับ :
B Strong ทำงานอย่างไร แล้วทำไมถึงสามารถเพิ่มโกรทฮอร์โมนได้ คลิก https://www.youtube.com/watch?v=uAKd4IF4Zr0&t=19s
โกรทฮอร์โมน คลิก https://youtu.be/tOOURyIR2gA รับชมสัมภาษณ์กับคุณหมอ
Comments